มนุษย์ทุกคนที่ได้ชื่อว่าได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วนั้น ทุกคนมีค่า มีศักยภาพ และมีพลังงานมหาศาลซ่อนอยู่ในตัวทุกคน ไม่ว่าคนนั้นจะ สวย ขี้เหร่ รวย จน พิการ ครอบครัวอบอุ่น หรือไม่อบอุ่น หรือแม้แต่จะเป็นเพศใด เพียงแต่เราจะค้นพบออร่านั้น หรือพลังงานนั้นหรือไม่
ถ้าเปรียบให้เห็นภาพ เหมือนกับเพชรที่ถูกซ่อนตัวอยู่ในหิน Kimberlite ถูกสนิม ดิน ปูน ทราย ทับถม จนผู้คนมองเป็นหินไร้ค่า แต่เมื่อถูกเจียรไน ขัด ล้าง ออร่าในตัวเพชรก็ประกายออกมา ถึงตอนนั้น ผู้คนต่างแห่แหนมาชื่นชม ยินดี และอยากได้ครอบครอง ซึ่งก่อนนี้ ที่ยังซ่อนตัวในหิน ผู้คนกลับมองข้าม เหยียบย่ำ ไม่สนใจ.. ใช่ค่ะ ชีวิตเราก็แบบนั้น ซึ่งต่อไปนี้จะเป็นแนวทางแนะนำเพื่อให้ผู้อ่าน ได้มีวิธี ในการขัดหินก้อนนี้จากสิ่งที่ทับถม ให้ประกายออร่า ออกมาเป็นตัวเอง ในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด..
จริงๆแล้ว ถ้าให้ลองสังเกตชีวิตที่ผ่านมา ชีวิตเรา จะมีเวอร์ชั่นใหม่ๆเกิดขึ้นเสมอๆทุกวัน ตามระยะเวลา วัย ประสบการณ์ เช่น ถ้าเราย้อนดูตัวเองตอนเด็ก หรือโพสต์เฟสบุ๊คที่เคยโฟสต์เมื่อ 5 ปีก่อน หรือ ภาพที่เคยแต่งตัว แต่งหน้าเมื่อหลายปีก่อน วันนี้เรากลับอายตัวเองว่า ทำไมตอนนั้นเราคิดหรือทำอย่างนั้น.. แต่ขึ้นกับว่า ใครจะเดินอยู่บนทางไปสู่เวอร์ชั่นที่ดีที่สุดได้ถูกทาง หรือ ผิดทางกว่ากัน เท่านั้นเอง..ถูกทางก็ถึงไวกว่า ผิดทางก็อาจจะช้า หรือไม่พบเลยจนตลอดชีวิตก็มี.. ทาง ที่ว่า ป๊อกหมายถึง ทัศนคติ หรือมุมมอง ที่เป็นเหมือนแสงสว่างนำทาง นั่นเองค่ะ..
1. ร่างเป้าหมายเป็นภาพในหัว ทุกคนคงไม่ได้ทำงานงกๆ ได้เงิน กินเที่ยว ปาร์ตี้ไปวันๆแค่นั้นใช่ไหมคะ ชีวิตที่ดีคือการวางแผน มองภาพอนาคต โดยไม่ต้องเอาความคิดลบมาแทรกในขั้นตอนนี้นะคะ เช่น ทำไม่ได้หรอก เราไม่เก่งนี่ เราไม่มีเงินนี่ เราไม่สวยนี่ ตัดออกไปเลย หลับตาอยู่กับตัวเองสักพัก และดราฟความฝัน เช่น มีรถยนต์สักคน มีบ้านที่เต็มไปด้วยต้นไม้ ธรรมชาติ มีธุรกิจเล็กๆ หรืออะไรก็ตามในแบบฉบับของตน ที่เราอยากมีชีวิตแบบนั้น.. แต่ขอว่า บนพื้นฐานของความถูกต้อง ไม่เบียดเบียนใคร ไม่ผิดกฏหมาย..การวางเป้าหมายชีวิต ก็เหมือนกับการขับรถ หรือนั่งรถเมล์ ถ้าเราไม่มีเป้าหมาย การเดินทางของเราก็จะหลงไปเรื่อยๆ.. การวางเป้าเป็นสิ่งที่ดีมากๆ ถึงแม้เราตั้งเป้าไว้ 100 แต่ถึงเวลาเราทำจริงๆ อาจจะได้ 70 นั่นก็ถือว่าได้.. ไม่ต้องคิดในหัวตลอดเวลานะคะ วันละครั้ง หรือ 2-3 วันครั้งก็ได้ในการแว้บคิด ความคิดเราจะเป็นเหมือนการตอกเสาเข็ม วางโครงสร้างบ้าน แต่ยังไม่มีหลังคา กำแพง หรือการตกแต่งใดๆ…
2. เติมพลังงานบวกให้ตัวเองทุกวัน เมื่อเรามีเป้าหมายแล้ว เรายังต้องเติมน้ำมันเพื่อพาเราไปที่เป้าหมายด้วย หมั่นเติมพลังงานบวกเริ่มจากเรื่องเล็กๆน้อยๆ เช่น นอนเป็นเวลา เพื่อตื่นเช้า พักผ่อนให้พอ นั่งสมาธิก่อนนอนหรือตื่นนอน ออกกำลังกาย ทานอาหารเช้า ล้างห้องน้ำ กวาดห้อง จัดห้อง ล้างจาน ฝึกการให้ ให้รอยย้ิม ให้ทาน ให้อภัย ไม่เห็นแก่ตัว ช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานที่เราพอทำได้ พลังบวกยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องใหญ่ๆ ว่า ฉันต้องทำงานเพื่อสังคม ยิ่งใหญ่ อลังการ อะไรมาก ให้เริ่มจากพลังงานบวกเล็กๆ จากตัวเองก่อน ถ้าเราฝึกไปเรื่อยๆ สม่ำเสมอ พลังงานบวกเล็กๆที่สะสมไปทุกวันๆ มันจะกลายเป็นพลังมหาศาลได้ สังเกตตัวเองง่ายๆ วันไหนเราตื่นเช้า เราจะรู้สึกว่า วันนี้ใช้เวลาคุ้มมาก ทำอะไรได้หลายอย่าง รู้สึกตัวเองมีค่า ร่างกาย active แต่ถ้าวันไหนนอนตื่นสาย เกือบเที่ยง ตื่นมานอกจากปวดหัว ซึมแล้ว ยังรู้สึกว่า วันหยุดนี้ ทำไมไร้ค่าจัง ไม่ได้ทำอะไรเลย หมดวันซะแล้ว…ฝึกให้เป็นความสม่ำเสมอและเคยชินนะคะ..
3. โฟกัสงานตรงหน้าให้ดีที่สุด ถึงแม้วันนี้เป้าหมายเรา อาจจะอยู่ไกล หรืองานที่เราทำก็ไม่เกี่ยวกับความฝันเลย หรืออะไรๆก็ตาม ณ วันนี้ ให้เราโฟกัสหน้าที่ตรงหน้า ให้ดีที่สุดก่อน ทำหน้าที่ลูกที่ดี ทำหน้าที่คนรักที่ดี ทำหน้าที่พนักงานที่ดี ทำโดยไม่เอาเปรียบบริษัท ไม่เอาเปรียบเพื่อนร่วมงาน ทำให้มากกว่าเงินเดือนยิ่งดี อย่าคิดว่าได้เงินเดือนเท่านี้ก็ทำแค่นี้แหละ เขาให้ 5 เราควรยิ่งต้องทำให้เขา 10 อีกทั้งต้องไม่ละเลยความซื่อสัตย์ และความกตัญญูกับทุกคนที่เขาให้สิ่งดีๆกับเรา.. พลังงานความดีเหล่านี้ ถูกสะสมในตัวคุณ เมื่อมันมากพอ พลังงานนี้มีส่วนมากที่จะพาคุณไปปถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้น..
4. ฝึกมองปัญหาเป็นบททดสอบ มั่นใจได้เลยนะคะว่า มนุษย์ทุกคนบนโลก ไม่มีใครสุขบนทุ่งลาเวนเดอร์ตลอดเวลา ทุกคนสุข ทุกข์ สลับกันไป เหมือนกราฟชีพจรชีวิตที่ขึ้นๆลงๆ แต่เมื่อสุขอย่าหลงในสุขจนมัวเมา เมื่อเจอทุกข์หรือปัญหา ให้ตั้งสติ และใช้เวลากับการหาทางแก้ปัญหา เปรียบเหมือนกว่าเราจะเรียนจบแต่ละชั้นต้องมีการสอบกลางภาค ปลายภาค ชีวิตก็เหมือนกันค่ะ ต้องมีบททดสอบด้วยปัญหาและความทุกข์ คุณยิ่งเก่งแก้ปัญหา เก่งเผชิญหน้าความทุกข์ นั่นแหละพลังงานในตัวคุณจะพองโต และคุณจะเดินเข้าหาตัวคุณในเวอร์ชั่นเพชรที่แผ่ออร่า ได้เร็วกว่าคนอื่นๆ.. เวลาเจอปัญหาอย่ารีบผลักออกจากตัว อย่าหาคนผิด อย่าใส่ร้ายคนอื่น เห็นอกเห็นใจให้เป็น ช่วยเหลือ ช่วยแก้ และแบ่งเบา ถ้าเราทำผิด ให้รู้จักยอมรับผิด และนำกลับมาแก้ไข เพื่อไม่ให้ผิดซ้ำ..
5. ศรัตรูที่พึงระวัง จากที่ป๊อกได้มานั่งรับฟังปัญหาชีวิตมา 1 ปีกว่า มากกว่า 1000 กว่าเคส มีผู้บริหาร เจ้าของกิจการ ที่เข้ามาปรึกษาก็มาก ป๊อกได้เรียนรู้จากพวกเขาว่า สิ่งที่มีอำนาจทำลายล้างสูงมาก คือ อารมณ์ อารมณ์คือไฟ มีอำนาจทำลายล้างทุกอย่างในพริบตา ปัญหาเล็กจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ ปัญหาใหญ่จะกลายเป็นระเบิด ก็เพราะอารมณ์ อารมณ์มีอำนาจทำลายล้างความสัมพันธ์ ทำลายลูกน้อง ทำลายเพื่อน ทำลายคนรอบข้าง อารมณ์โกรธ อารมณ์น้อยใจ มันเปรียบเหมือนไฟ ส่วนสมาธิ หรือสติ ที่ถูกฝึกอย่างจริงจัง จะเป็นน้ำ คนที่มีสมาธิเหนือกว่า จะคุมเกมส์ทั้งหมดไว้ได้ ข้อนี้สำคัญมากนะคะ.. ทุกวันตัวเราจะมีการชักคะเย่อกันเสมอระหว่างอารมณ์ กับ สติ ถ้าอารมณ์ใครมีพลังมากกว่า ให้พยากรณ์ความหายนะไว้ได้เลย และต้องรีบปลุกตัวเอง ให้อาหารกับสมาธิให้มากขึ้น เริ่มฝึกวันนี้ เพื่อคุณจะได้ไม่ต้องเสียใจในวันหน้า..
6. ข้อสุดท้ายและสำคัญมาก คือ การอยู่กับตัวเองและสังเกตตัวเอง ถ้าเราอยากเจอตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด เราก็ต้องมีเวลาอยู่กับตัวเอง เข้าใจตัวเอง และรู้จักสังเกตตัวเอง เหมือนกับเราทำงานถ้าเราไม่ใส่ใจงานก็คงออกมาไม่ดี ปลูกดอกไม้จัดสวน ถ้าเราไม่ใส่ใจและมีเวลาให้ มันก็คงไม่ออกมาสวย สังเกตตัวเองในทุกๆโมเม้นของชีวิต เช่น ทุกครั้งที่โดนตำหนิ ได้ยินคนนินทา คนด่า ให้สังเกตว่าเราแก้ไขโดยการใช้ไฟ หรือ ใช้น้ำ ถ้ายังใช้ไฟแก้ปัญหาอยู่ต้องรีบเปลี่ยนเส้นทาง ทุกโมเม้นเหตุการณ์ ให้แว้บถามตัวเองว่า นี่คือความสุขจริงๆของเราไหม เช่น เข้าผับ กินเหล้า ปาร์ตี้ และในทุกๆวัน สุขภาพร่างกาย เราบำรุงเขาด้วยอาหาร อาบน้ำ แต่อย่าลืมใส่ใจสุขภาพจิต เพราะเขาคือสิ่งที่ควรใส่ใจมากที่สุด ก่อนนอน หรือตื่นนอน นั่งหลับตา ทบทวนตัวเอง นั่งอยู่กับตัวเองสักพัก และก่อนลืมตา หยุดความคิดทุกสิ่ง และมาโฟกัสแค่ลมหายใจ สัก 2-5 ครั้งก็ถือว่าดีที่สุด…
ฝากไว้ 6 ข้อนะคะ ชีวิตไม่ง่ายค่ะ และก็ไม่ยาก ชีวิตคือศิลปะที่เหนือชั้น การจะได้อะไรมาทุกอย่างต้องฝึก ใช้ความอดทน และเพียรพยายาม แรกๆอาจจะดูฝืนๆ แต่เมื่อกลายเป็นความเคยชิน มันก็จะกลายเป็นธรรมชาติของตัวเราไปเอง.. เพราะงั้นให้เป็นความเคยชินในด้านดีดีกว่า..
สิ่งหนึ่งที่อยากฝากไว้ว่า อย่าจริงจัง โฟกัสกับเป้าหมายมาก จนใจร้อน ด่วนได้ และเห็นแก่ตัว ได้มาด้วยความไม่บริสุทธิ์ จำไว้เลยว่า มันจะได้มาแค่ชั่วครู่ให้คุณชะล่าใจ ไม่นานคุณจะโดนทวงคืนอย่างน่าตกใจ แต่ถ้าเราได้มาด้วยความบริสุทธิ์ ไม่เบียดเบียนใคร สิ่งนั้นจะอยู่กับเราได้ถาวร
และสุดท้าย อยากบอกว่า บางทีเป้าหมายอาจจะไม่ได้หอมหวาน เท่ากับชีวิตระหว่างทางที่เรากำลังไปถึงเป้าหมายนะคะ วาง story ให้ดีงาม เมื่อเราไปยืนที่จุดหมายแล้ว การได้นั่งย้อนดูเส้นทางที่มา มันจะได้ภูมิใจและมีความสุข.. การเดินทาง ถ้าเราโฟกัสเป้าหมายตลอดเวลา มันจะเหนื่อยมาก แต่ถ้าแว้บมองต้นไม้ ภูเขา ดอกไม้ ระหว่างทางที่ไป นั่นต่างหากที่เป็นหัวใจของการตั้งเป้าหมาย.. และในทุกวัน หมั่นหาความรู้ดีๆ ทัศนคติดีๆ จากกลุ่มคนที่แชร์พลังบวก เติมให้ตัวเองทุกๆวันนะคะ..
ขอบคุณที่อ่านบทความจนถึงบรรทัดนี้ หากมีข้อผิดพลาดอย่างไร ขออภัยไว้ด้วย ให้รับไปเฉพาะสิ่งที่ดีๆน่ะ
ขอบคุณค่ะ
ป๊อก
Date: 10 / 10 /2019