About

about-essencelife-gives
ความเป็นมาของ Lifeguide
สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับ และดีใจมากๆนะคะ ที่ผู้อ่านเข้ามาถึงบทความนี้ และให้เกียรติมาอ่านเรื่องราวของ Lifeguide .... ^ ^ “ทำไมป๊อกถึงคิดสร้างเว็บ Lifeguide ขึ้นมา ? ” เผื่อบางคนแว้บคิดคำถามนี้ขึ้นมาในใจ สืบเนื่องจากการเดินทางของชีวิตที่ผ่านมา เป็นปกติของชีวิตนะคะที่จะมี ความสุข ทุกข์ อุปสรรค ปัญหา แวะเวียนมาทำความรู้จักเราเสมอๆ ทั้งเรื่องงาน เงิน ความรัก เพื่อน ครอบครัว ซึ่งกว่าเราจะผ่านด่านนั้นมาได้ เราเข้าใจความรู้สึกนั้นดี และจำได้แม่น ป๊อกผ่านมันมาได้เพราะคำแนะนำ คำปรึกษาดีๆจากคนในครอบครัว  ซึ่งเราเป็นคนที่โชคดีมากๆ ที่มีครอบครัวที่น่ารัก มีรักแท้มอบให้เราตลอด เคียงข้างเราเสมอ เราจึงรู้สึกไม่โดดเดี่ยว ในด้านของกำลังใจและคำปรึกษาที่ดี  สิ่งดีๆทั้งแนวคิด ทัศนคติจากครอบครัวเหล่านั้น ป๊อกว่ามันมีค่ามาก จึงอยากส่งต่อให้คนที่เขาทุกข์ใจแบบป๊อก ได้รับอะไรดีๆแบบนี้บ้าง เราอยากทำหน้าที่ส่งต่อสิ่งดีๆ และอยากเห็นเขาก้าวผ่านมันไปได้อย่างสวยงาม เราจึงเริ่มต้นมาเป็นคนรับฟังปัญหาคนอื่นดูบ้าง และให้คำปรึกษา เริ่มจากคนรอบข้างก่อน เราเริ่มจากน้องชาย (น้องชายป๊อกเป็นโรคซึมเศร้า การรักษา รับฟัง ต้องใจเย็น และใช้พลังสูงพอสมควร ปัจจุบันน้องปกติและเป็นเด็กที่น่ารักมากค่ะ) ขยับมาที่กลุ่มเพื่อนสนิท และเพื่อนร่วมงาน (ที่ผ่านมาทุกเคสเราไม่ได้ยัดเยียดตัวเองเพื่อให้คำปรึกษาเขา ทุกคนจะเดินเข้ามาขอความช่วยเหลือกับเราก่อน อาจจะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง 555 ) ถ้าเขาไม่พร้อมเล่า ไม่พร้อมรับฟัง มันจะกลายเป็นผิดที่ ผิดเวลา..

แต่ละคนจะมีเรื่องราวที่น่าสนใจและเก็บเป็นเคสศึกษาสอนตัวเองได้เสมอ และเป็นธรรมทาน วิทยาทานกับผู้อื่นต่อได้ ไว้จะเขียนไว้ให้อ่านที่บทความนะคะ ส่วนประสบการณ์ปัญหาชีวิตและการจัดการกับปัญหาของป๊อกเองทั้งเรื่องงาน ความรัก ครอบครัว เพื่อน เราจะเขียนเล่าอีกแท๊ปเมนูไว้นะคะ เผื่อเป็นประโยชน์กับทางผู้อ่านได้บ้าง ในช่วงหนึ่งที่หลายคนพูดถึง Passion ค่อนข้างหนาหู แต่เอาจริงๆ ตอนนั้น พยายามคิดหา Passion ของตัวเอง คิดไม่ออก ไม่มั่นใจสักอย่าง รู้สึกตัวเองเหมือนเป็ด ที่ทำหลายอย่างได้ แต่ทำได้ไม่ดี ถึงบางอย่างที่ทำได้ดี มันก็ยังไม่ใช่ Passion ที่จะมีความสุขและอยู่กับมันได้ตลอด แบบเวลาอยู่กับมันแล้วไม่รู้สึกเหนื่อย... จนกระทั่งเมื่อสามเดือนก่อน เป็นช่วงที่เราเดินออกจากความทุกข์ด่านโหดของชีวิต คือ ความรัก กว่าเราจะผ่านมันมาได้ เป็นช่วงที่เข้าภาวะซึมเศร้าอาการขั้นต้นเลยทีเดียว แต่เราเหมือนเดินทะลุประตูอะไรมาสักอย่าง หลังจากนั้นทัศนคติเราเปลี่ยนหมด มุมมองต่างๆ และได้ลองช่วยเหลือ ให้คำปรึกษา ให้กำลังใจคนอื่นๆ ปรากฏว่าได้ผลดีมาก ทุกคนที่เข้ามาเปลี่ยนไปในทางที่ดี และขอบคุณเราแบบรู้สึกได้ว่าออกมาจากใจจริงๆ เเละทำให้ความคิด ทัศนคติ การดำเนินชีวิตของเขาเปลี่ยนไป มันสุขอย่างบอกไม่ถูก สุขอิ่มๆ เราไม่รู้สึกว่าเสียเวลา และเหนื่อยกับมันเลย … เรายินดีมาก กับการช่วยเหลือในด้านการเยียวยาจิตใจ อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ มีผู้ชายคนหนึ่งเคยถามและพูดกับป๊อกบ่อยๆว่า "เราเกิดมาทำไม เกิดมาเพื่ออะไร" บ่อยมาก ในตอนนั้นเหมือนในใจรู้ว่าเกิดมาทำไม แต่พูดได้ไม่เต็มปาก และเมื่อสามเดือนก่อนทำให้ป๊อกตอบได้เต็มปากว่า ป๊อกเกิดมาทำไม และทุกคนจะได้ฟังจากปากป๊อกถ้าเราได้มีโอกาส พบและปรึกษากันนะคะ...

ยินดีเสมอ ยินดีต้อนรับทุกวัย ทุกเพศ ทุกอาชีพ ทุกฐานะ ทุกศาสนา ทุกเชื้อชาติ จน รวย ... ขอให้ความดีคุ้มครองทุกคนนะคะ.. ป๊อกกี้
5 เหตุผลที่มาของ Lifeguide
1.   เริ่มต้นจากการตรึกตรองย้อนดูชีวิตตัวเองที่ผ่านมา การพบเจอปัญหา ความทุกข์ใจ สิ่งที่เราทำกับคนอื่น และสิ่งที่ย้อนกลับมาทำกับเรา ป๊อกชอบนั่งย้อนเหตุการณ์เสมอว่า ทำไมเหตุการณ์นี้ถึงเกิดกับเรา ซึ่งตอนนี้ป๊อกมั่นใจว่า ทุกๆเหตุการณ์ที่เกิดกับเรา ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ทุกอย่างเราสร้างมาแบบนี้ เราจึงได้แบบนี้ เริ่มจากความเข้าใจตัวเองก่อน และเริ่มแก้ที่ตัวเอง พอเราจับต้องสิ่งดีๆทำให้ตัวเองหลุดจากความทุกข์ได้ และมีอาวุธสู้กับความทุกข์ต่อไปได้ (ตราบที่เรายังเป็นมนุษย์ปุถุชนความทุกข์เป็นเรื่องปกติ ในการแวะเวียนมาทำความรู้จักเราเสมอๆ) เราจึงมีความคิดอยากให้คนอื่น หรือ อยากเป็นกำลังใจเล็กๆ ที่ให้เขาก้าวผ่านจุดนั้นมาได้ มันเป็นความรู้สึกดีที่อธิบายไม่ถูกจริงๆค่ะ...

2.  ความทุกข์ใจของชีวิตมีหลายเรื่องเข้ามาสอนตลอดชีวิตที่ผ่านมาค่ะ แต่สิ่งที่เจ็บลึก และเสียใจมากที่สุดคือ "การเห็นน้องชายแท้ๆ ที่เรารักมาก กลายเป็นโรคซึมเศร้าขั้นรุนแรงต่อหน้าต่อตา" มันเจ็บปวดมากนะคะ เจ็บถึงก้นบึ้งของจิตใจ ยังจำเหตุการณ์ที่ป๊อกยืนเกาะกรงเหล็ก เพื่อคุยกับน้อง คุยรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง คุยไปร้องให้ไป เจ็บสุดใจจริงๆค่ะ (ตอนนี้น้องกลับมาเป็นคนปกติทั่วไปและน่ารักมากๆแล้ว แค่ต้องกินยา และยาใจก็สำคัญที่สุดนะคะ...สำหรับโรคนี้) เราเลยเข้าใจมากๆกับการเห็นคนที่เรารักต้องกลายเป็นโรคนี้ มีบทความเล่านะคะ ไว้ป๊อกเขียนไว้ที่ Blog เพื่อเป็นธรรมทาน เลยเป็นที่มาว่า ป๊อกอยากช่วยเหลือ หรือรับฟัง แนะนำ ปรึกษา กับคนที่เขาเริ่มมีสุ่มเสี่ยงในเรื่องนี้ ในช่วงที่เขามองไม่เห็นใคร ในขณะที่คนรอบข้างเขากำลังวิ่งเข้าไปเทคโนโลยี ความเจริญ ความสนุก แต่ป๊อกอยากเป็นคนที่คุยกับเขา เยียวยาจิตใจเขา...ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป...

3.  ความมั่นใจที่จะเริ่มช่วยเหลือผู้คนทั่วไปแบบนี้ เริ่มจาก พอเราจัดการความทุกข์ตัวเองได้ ช่วยเหลือตัวเองให้เข้มแข็งแล้ว หลังๆเริ่มมีคนใกล้ชิด เข้ามาขอคำปรึกษา พอเราสามารถช่วยเยียวยาจิตใจเขาได้ ทำให้เขาดีขึ้นได้ เราพบว่าความสุขนี้มันคือที่สุด เราชอบ เราไม่เหนื่อยเลย (ปกติตั้งแต่เด็กชอบรับฟังปัญหาชีวิต ชอบให้กำลังใจคนอื่น แต่ด้วยวุฒิภาวะ และประสบการณ์เราในตอนนั้น คือเข้าอกเข้าใจเขานะ แต่จะช่วยได้แค่คำพูดดีๆว่า สู้ๆนะ เป็นกำลังใจให้นะ แต่เราแนะนำอะไรที่มากกว่านั้นไม่ได้เลย ) พอเราเริ่มช่วยเหลือคนใกล้ชิด ที่เดินเข้ามาให้เราช่วยได้ เราเริ่มแผ่ออกไปจากครอบครัว ถึงกลุ่มเพื่อนสนิท และเพื่อนร่วมงานของเรา ....แต่ที่ผ่านมาของการช่วย ทุกคนจะ walk in เข้ามา เพราะเราเชื่อว่าถ้าเขาพร้อมเล่า พร้อมรับฟัง ทุกอย่างจะปัง...

4.  ในยุคประเทศไทย 4.0 ที่เทคโนโลยีก้าวหน้า โลกเราวิ่งไปไวมาก แต่สิ่งที่ถูกละเลยคือจิตใจของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ทุกครั้งที่อ่านข่าวฆ่าตัวตายเพราะความรักด้วยอายุยังน้อย  ข่าวฆ่าพ่อแม่ตาย  ข่าวกระโดดสะพานเพราะโรคซึมเศร้า  เราจะเจ็บปวดมาก เรามั่นใจว่าถ้ามีใครสักคนสังเกต และรับฟัง พูดคุยกับเขา จะไม่มีเหตุการณนี้เกิดขึ้น ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร เราอยากดึงชีวิตเขาไว้ โลกยังอีกไกล การจบชีวิตอาจไม่ใช่การจบความทุกข์ อาจจะเป็นการเริ่มต้นเข้าสู่ความทุกข์ไม่มีที่สิ้นสุดก็ได้

5.  "ชีวิตเราเกิดมาทำไม? เราเกิดมาเพื่ออะไร ? " เคยมีคนย้ำถามคำถามนี้กับป๊อกบ่อยๆ ก่อนหน้านี้ตอบไม่เต็มปากจริงๆค่ะ แต่ตอนนี้รู้สึกมีเป้าหมาย รู้สึกชีวิตตัวเองมีค่ามากๆ และมีคำตอบแล้วค่ะ ว่าจริงๆแล้ว เราเกิดมากันทำไม หรือเกิดมาแค่ กิน (อาหารอร่อยๆเลิศรส) กาม (กาม ตัณหา ความใคร่ ความหลง ความมัวเมาอยู่ในรูป เสียง กลิ่น รส..) เกียรติ (ยศ บรรดาศักดิ์ ตำแหน่ง การเป็นที่ยอมรับ โด่งดัง ร่ำรวย) เท่านั้นเองหลอ ไว้มาฟังจากปากป๊อกนะคะ ... ไว้เจอกันน๊าาา ^ ^
พื้นฐานครอบครัว
ป๊อกเกิดที่จังหวัดสุรินทร์ค่ะ ครอบครัวเราอยู่ที่นั่นหมด ฐานะที่บ้านอยู่ในระดับเกือบปานกลาง คิดย้อนกลับไปป๊อกชอบองค์ประกอบชีวิตตัวเองนะ หมายถึง ครอบครัวที่อบอุ่นและลงตัวแบบนี้ ฐานะเท่านี้ พอเราฐานะเท่านี้มันทำให้เราต้องดิ้นรน ฟันฟ่าอุปสรรค อดทน เพราะเรามีเป้าหมายว่าชีวิตต้องดีขึ้น เพราะที่บ้านรอเราอยู่ เวลาคิดจะทำอะไร จึงต้องรอบคอบมากๆ ทั้งการเรียน การทำงาน เป็นการฝึกอบรมตัวเองไปในตัว ถ้าเรามีฐานะดีอยู่แล้ว อาจจะทำอะไรตามใจตัวเองมากกว่านี้ เช่น เถลไถลเรียนไม่จบ เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ไม่อดทนกับงาน อะไรแบบนั้น.. เพราะเท่าที่สังเกตตัวเองจะเหลิงมากเวลาหลงอยู่กับความสุข กับเงินทอง กับเพื่อน.. แต่สติจะบอกเสมอว่าที่บ้านรอเราอยู่นะ..... แค่นั้นแหละ การเรียนดี จบอันดับต้นๆในคลาส หางานทำทันที เติบโตในสายงานเป็นขั้นบันไดไต่ขึ้นเรื่อยๆ สมาชิกรักแท้ในครอบครัวเราทั้งหมด มี 7 คน ดังนี้ค่ะ

1.  พ่อ กับพ่อป๊อกค่อนข้างห่างเหิน ไม่ค่อยสนิทกันมาก อาจเพราะตอนเด็กพ่อต้องมาทำงานที่กรุงเทพฯ เพื่อส่งเงินจุนเจือครอบครัว พ่อไม่ค่อยได้เลี้ยงดูป๊อกแบบใกล้ชิด นานๆทีพ่อจะกลับมาพร้อมกับเสื้อผ้าใหม่ๆ ข้าวของดีๆมาฝาก พ่อจะเก่งด้านสังคมนอกบ้าน คนรู้จักพ่อเยอะ พ่อมีหน้าตาทางสังคมพอสมควร และพ่อก็รับได้ทุกอย่างในสิ่งที่ป๊อกเป็น (รวมถึงการเป็นสาวประเภทสองนะคะ) พ่อไม่เคยว่าเลยสักครั้ง พ่อให้อิสระในการเลือกของลูก และส่งเสริมเสมอในทุกๆเรื่อง แต่สิ่งที่ทุกข์ใจที่สุดกับพ่อคือ การพนัน สิ่งนี้เลวร้ายมากนะคะ ถ้าผู้อ่านมีคนใกล้ชิด สนิทสนมกับสิ่งนี้อยู่ ให้รีบห่างเลย ไม่มีความรวยจริงในวงการเสียมากกว่าได้นี้ มันคือเงินร้อน การพนันทำให้ทุกอย่างล้มเป็นโดมิโด กระทบหลายๆอย่างระเนระนาดเลยละค่ะ การพนันคือกิเลสที่ร้ายแรงที่สุด เป็นตัวทำลายล้างศีลธรรมทุกๆข้อ สิ่งนี้คือทุกข์ และเป็นอุปสรรคด่านโหดของครอบครัวเราเลย...

2. แม่ ถ้าจะถามว่า " เกิดมาชีวิตนี้ถ้าให้เลือกได้แค่ 1 คน เพื่อบอกว่าเป็นรักแท้ จะเลือกใคร ?” แน่นอนค่ะ ตอบได้ทันทีว่า หนึ่งเดียวคือ แม่ (มากกว่าพ่อนิสนุง > < ) คำเดียวคำนี้ ยิ่งใหญ่สำหรับเรามากจริงๆ ผู้หญิงคนนี้เป็นต้นแบบให้เห็นถึงความอดทนต่อการทำความดี แม่สอนเสมอว่า ขอให้ลูกยึดมั่นกับการคิดดี พูดดี ทำดี ต่อตัวเอง และผู้อื่น ทุกอย่างจะดี ถึ่งแม้การทำดีจะยังไม่ได้ดี ให้อดทนทำต่อ ถ้าชาตินี้ไม่ได้ดีเพราะการทำดี แม่ก็ยืนยันจะทำจนวินาทีสุดท้าย คือคำพูดที่ยังก้องในหัวเสมอ.. แม่เลี้ยงลูก 5 คนค่ะ และลูกของแม่เป็นเด็กดี ทัศนคติดีทุกคน พี่น้องรักใคร่กลมเกลียวกันเหนียวแน่นมาก แม่เก่ง แกร่ง อึดมาก เวลาไม่สบายแม่ดูแลลูกอย่างดีมากๆ เก็บอารมณ์เก่ง ใจเย็น เอาจริงๆ ป๊อกได้แม่มาเยอะเลยค่ะ... ถึงแม่จะจบเพียง ป.4 แต่ป๊อกกล้าพูดเลยว่า EQ และ Soft Skill ของแม่ป๊อกสูงมว๊ากกก ป๊อกเชื่อในกฏสะท้อนกลับของการกระทำมากนะคะ จากที่สังเกตและเชื่อมั่นในความรู้สึกตัวเอง สิ่งที่ลูกๆของแม่ดีกับแม่มากขนาดนี้ เป็นเพราะแม่เองเคยกตัญญูต่อบิดา มารดาของแม่มากๆๆๆ เช่นกัน แม่เป็นลูกสุดท้อง ที่รับภาระ เลี้ยงดู ป้อนข้าวป้อนน้ำ ป้อนยา ปรนนิบัติบิดา มารดา ตัวเองจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต ป๊อกเห็นแม่ตอนนั้นในวัยเด็กสงสารแม่มาก ต้องดูแลทั้งลูกๆ และดูแลบิดา มารดาของตัวเองไปด้วย ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะคะ …..

3. พี่ชาย ในช่วงวัยรุ่นพี่ชายแสบมว๊ากกค่ะ แสบกับแม่กับพ่อมาก หลายๆเหตุการณ์ที่สร้างความทุกข์ใจให้ท่าน (พี่ชายมีผลย้อนกลับที่เคยทำกับพ่อกับแม่ ไว้จะเล่าเป็นธรรมทานที่ Blog นะคะ) แต่พอผ่านช่วงวัยรุ่น มีครอบครัว ในวัยที่โตขึ้น พี่ชายเปลี่ยนไปเป็นคนละคนค่ะ เป็นพี่ชายที่น่ารักมาก เป็นห่วงน้องตลอด ขับรถส่ง ถึงหัดให้น้องขับรถเป็นแล้ว ก็ไม่กล้าปล่อย เพราะห่วงน้องๆ

4. พี่สาวคนโต ส่วนพี่สาวคนนี้จะแสบช่วงประถมค่ะ ในวัยเด็กพี่แกออกทอมๆซะด้วยซ้ำ แกร่ง กระด้าง ปากร้าย ขี้เกียจไปโรงเรียน ชอบหนีเรียน พ่อจะตามดุเสมอๆ พอในวัยรุ่นเป็นต้นมา พี่สาวคนนี้ก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน กลายเป็นคนอ่อนหวาน พูดจาไพเราะ ใจเย็นมาก กุลสตีไทยเลย แต่ก็จะมีบ้างเวลาโกรธ นางก็จะเอาร่างเดิมคืนมาบ้าง แต่ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา (วันนี้ 30 กันยายน 61) มี 2 เหตุการณ์ที่ทำให้พี่สาวคนนี้เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่นั้นมา ทั้งการปรับเปลี่ยนตัวเอง และปฏิบัติต่อสามีและลูกๆ ไว้ป๊อกจะเล่าต่อที่ Blog นะคะ

5. พี่สาวคนรอง คนนี้คือคนที่ปั้นป๊อกให้เป็นป๊อกในทุกวันนี้ รองจากแม่ สุข ทุกข์ เราสองคนจะรู้กันเสมอ ด้วยวัยที่ใกล้กัน และด้วยความที่พี่สาวคนนี้เป็นคนให้คำปรึกษาได้ดีเยี่ยม ทัศนคติ การให้กำลังใจ การเลือกใช้คำพูด นางคือที่สุดของป๊อกกี้ และเป็นต้นแบบที่ดีมากๆ ทั้งเรื่องเรียนช่วยดัน ให้คำปรึกษาตลอดจนป๊อกได้เข้ามหาลัย เรื่องความรักด้วยวัยที่ใกล้กันนางก็จะเข้าใจได้มากกว่าเราจึงไว้ใจเล่าทุกเรื่องกับพี่สาวคนนี้ เรื่องเงินคนนี้ก็ Support น้องได้ตลอด ช่วงทุกข์ ช่วงสุข เราสองคนร้องให้มาด้วยกันเยอะค่ะ … และทุกครั้งที่คุย ปรึกษา จะได้แง่คิดที่เป็นกลาง การเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ ใช่ค่ะ ทัศนคติดีๆป๊อกได้จากครอบครัว ที่ป๊อกเป็นป๊อกในทุกวันนี้... รากฐานมาจากครอบครัว เหมือนเป็นรากแก้วเลยนะคะ สำคัญมากจริงๆ...ป๊อกโชคดีมากๆ ที่เกิดมากับครอบครัวนี้...

6. น้องชายคนสุดท้อง ด้วยความที่เราถนัดแต่เคยเป็นผู้ถูกดูแล จนเรามีน้องขึ้นมา เราต้องทำหน้าที่ดูแลเขาบ้าง ใช่ค่ะ น้องคนนี้เหมือนกล่องดวงใจอีกดวง ป๊อกเอ็นดู และรักเขามาก ตอนเด็กเราจะคลุกคลี เลี้ยงดู กันมาตลอด ไปโรงเรียนด้วยกัน ทะเลาะกันก็บ่อยค่ะ ตามประสาเด็ก แต่สิ่งที่เจ็บสุดขั้วหัวใจคือ ช่วงที่ป๊อกออกจากบ้านมาเรียนมหาลัย ต่างจังหวัด น้องมีปัญหาที่โรงเรียนกับเพื่อน โดนกระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง จนน้องกลายเป็นโรคซึมเศร้า ความเจ็บปวดสุดขั้วหัวใจ คือ เราไม่ได้อยู่ในจังหวะที่น้องต้องการคนรับฟัง คนช่วยเหลือ เล่าทุกที ก็เจ็บจี๊ดทุกทีค่ะ ไว้จะเล่าต่อที่ Blog เป็นวิทยาทาน ธรรมทานนะคะ … แต่ปัจจุบันน้องเป็นน้องที่น่ารัก และใช้ชีวิตปกติเหมือนคนทั่วไป เพียงแต่ต้องกินยาหมอ และสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือยาใจ กำลังใจจากคนรอบข้าง...

ตอนเด็กป๊อกเคยคิดว่า เคยเห็นลูกพี่ลูกน้อง พอเขาแต่งงานมีครอบครัวไป เขาก็เปลี่ยนไป ความรัก ความใส่ใจที่เคยมีกับเรา ถูกลดบทบาทลง เราเคยกลัวกับครอบครัวเราแบบนั้น แต่ไม่เลยค่ะ ยิ่งครอบครัวเรามีพี่เขย พี่สะใภ้ หลานๆเข้ามา ยิ่งสร้างความอบอุ่น รักใคร่ กลมเกลียวกันกว่าเดิม ครอบครัวที่อบอุ่น มีค่ากว่าเงินหลายๆล้าน แลกกันไม่ได้จริงๆค่ะ ….
ประสบการณ์การทำงาน
“ ฉันต้องสวย รวย ฉลาด สามารถหาเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้” คือสิ่งที่คิดอยู่ในหัวในช่วงวัยมหาลัย ป๊อกเรียนที่มหาวิทยาลัยบูรพา คณะวิทยาศาสตร์ สาขาระบบสารสนเทศคอมพิวเตอร์ ที่เลือกเรียนเพราะชอบคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ ม.ต้น เก็บเงินซื้อ Personal computer เครื่องแรกเอง ตอนนั้นจำได้ว่าชอบโปรแกรม Photoshop กับทำเว็บด้วย Dreamweaver และโปรแกรมตัดต่อ VDO Slide ภาพครอบครัว เป็นที่มาของสายอาชีพ Digital จนถึงทุกวันนี้ มันดูเท่มากนะคะ การใช้คอมฯเป็นในยุค 10 ปีก่อน

หลังเรียนจบ ป๊อกยังไม่ได้มาทำงานในงาน Digital สาเหตุเพราะอาจารย์ให้ทำโปรเจคจบเดี่ยว เขียนโปรแกรมอะไรก็ได้ขึ้นมาสักตัว มันโหดมากค่ะ ป๊อกเกลียดการเขียนโปรแกรมตั้งแต่นั้นมา มีแอบไปจ้างเขียนด้วยนะ บุญเป็นใจ โดนเชิ่ดเงิน เขาไม่ทำงานให้ เลยต้องก้มหน้าเขียนโปรแกรมเอง จริงๆแล้วถ้าคนเราตั้งใจจะทำอะไร ทุกอย่างจะเป็นไปได้หมด แค่ต้องสลัดคำว่ากลัวออก ป๊อกจบคนที่ 2 ของคลาสด้วยซ้ำ แต่เข็ดกับการเขียนโค้ด และบอกกับตัวเองว่า จะไม่ทำงานสายนี้ จะไม่เขียนโค้ดอีก..

ที่ทำงานที่แรกจึงสมัครเป็น เลขานุการผู้บริหารและดูแลเว็บบริษัทควบคู่ไปด้วย ทำได้ 1 ปี ก็ไปเป็น Sales สินเชื่อและบัตรเครดิตของธนาคาร HSBC อยู่ 1 ปี เช่นกัน หลังจากนั้นจึงคิดอยากกลับมาสาย Digital เพราะตรัสรู้แล้วว่าน่าจะเป็นอาชีพที่ก้าวกระโดดสำหรับในโลกยุคนี้และยุคหน้า อีกทั้งดูเท่ชะมัด..

Digital Agencyที่แรกชื่อบริษัท Six republic (นามสมมุติ) ป๊อกอยู่ที่นี่ 2 ปี เริ่มด้วยตำแหน่ง Account Executive คือเราไม่ต้องดีไซน์ หรือ เขียนโปรแกรมแกรมเอง (เกี่ยวกับ Website, Mobile Application, Web Application .. ฯลฯ) เพียงแต่ต้องออกพบลูกค้า รับความต้องการลูกค้า ต่อรองราคา ทำงานให้ตรงทามไลน์ บรีฟดีไซน์เนอร์ และโปรแกรมเมอร์ ให้เขาทำงานให้ก็พอ แล้วไปส่งมอบงาน เทรนนิ่งลูกค้า หูยย ฟังดูเท่เนอะ ไม่ค่ะ อันนี้หน้าม่าน หลังม่านรับภาระกดดัน และโดนด่าเยอะมว๊าากกก ทีม ลูกค้า ความกดดันมาเต็ม สิ่งดีๆที่ได้จากที่นี่คือ เป็นที่แรกที่เป็นโรงเรียนฝึกป๊อกให้แกร่งในสายอาชีพนี้ เพราะบอสให้ออกไปลุยเอง ไปเจอปัญหาเอง ไปโดนด่าเอง ดูแลโปรเจคตั้งแต่ต้นจนจบ บอสจะดูอยู่ห่างๆ เหนื่อยและกดดันมากค่ะ แต่มันได้กับเราล้วนๆเลย เป็นวิชาชีพติดตัวเราไป แต่สิ่งที่ทำให้ป๊อกต้องออกจากที่นี่คือ บอสไม่ให้ใจกับเราเลย เงินเดือนขึ้นเท่าหางมด ในขณะที่งานเยอะมว๊ากก ความรับผิดชอบหลายอย่าง ตำแหน่งเลื่อนขึ้น แต่เงินเดือนเท่าเดิม จาก AE เป็น AE Supervisor คิดย้อนกลับไป เราถูกเอาเปรียบหนักมากจริงๆ....เพราะพอออกมาสำรวจตลาดแรงงานแล้ว โดยหน้าที่ที่เราทำ กับเงินเดือนที่เราได้ ที่อื่นให้ตัวเลขสูงกว่ามาก... แต่เทียบกับข้อดีแล้ว เราต้องขอบคุณ Six republic มากกว่า.... ที่ปลุกดินให้เป็นดาว ปลุกปั้นให้เติบโตในสายอาชีพนี้.. ขอบคุณจากใจจริงๆ มีโอกาสจะแวะไปขอบคุณจากปากแน่นอน...

" ข้อคิดดีๆ ที่ป๊อกได้จากที่ Six republic ก็คือ ไม่ว่าเขาจะให้เงินเดือนเราเท่าไหร่ พูดทำร้ายจิตใจ เอาเปรียบเรายังไง ป๊อกจะยังทำหน้าที่ของตำแหน่งตัวเองให้ดีที่สุดจากจิตใต้สำนึก เพื่อลูกค้าได้งานไปใช้ เพื่องานที่ดี เมื่อเห็นผลลัพธ์ของงานแล้วภูมิใจ ป๊อกมั่นใจว่าสิ่งที่เหนือกว่าการได้กำไรของบริษัท คือ ความรู้เหล่านั้นจะเป็นวิชาชีพที่มีค่ามากติดตัวเราไปทุกๆ ที่ ที่เราจะไม่มีวันอับจนหนทางในสายอาชีพ และไม่มีใครขโมยไปจากเราได้ อีกอย่างที่ได้จากที่นี่คือ มิตรภาพ เพื่อนร่วมงานที่ยังติดต่อทำงานนอก พบเจอกันบ้าง...."

Digital Agency ที่ที่สองคือ บริษัท AEM (นามสมมุติ) อยู่ที่นี่มา 2 ปีครึ่ง ตำแหน่ง Account Executive ด้วยประสบการณ์บอสให้ค่าตัวตามที่เราขอ ตำแหน่งบอสดันให้เป็น Project Manager แต่ป๊อกปฏิเสธ เพราะคิดว่าตัวเองรับรับภาระกดดันอะไรมากขนาดนั้นยังไม่ได้ อยู่ที่นี่เราทำงานได้เลย ไม่มีใครสอนใดๆ เพราะเรามีประสบการณ์มาแล้ว (เราจะเก่งขึ้นทุกวัน จะมีบทเรียนใหม่ ปัญหาใหม่มาให้เราแก้ทุกวัน จากทีม จากลูกค้า อยู่ที่ว่าเราจะเก็บ Logs ไว้เป็นอาวุธและป้องกันในครั้งหน้าไหม..) เพราะงั้นความท้าทายของที่นี่ที่ได้ความรู้เพิ่มจากบอสและทีมจะเป็นฝั่ง Strategy Marketing มากกว่า ทำให้ได้รู้ว่า เราจะแค่ทำเว็บสวยอย่างเดียวไม่พอ เว็บเราต้องฉลาดด้วย และทำไงให้มีคนมารุมจีบเว็บเราเยอะๆ ใช่ค่ะ Strategy Marketing มาเติมส่วนนี้ จุดที่ตัดสินใจลาออกเป็นเพราะ ทนอารมณ์ของบอสไม่ไหว กับบอสเกาเหลากันเอง (บอสมีสองคน) บอสอารมณ์รุนแรง Aggressive ขั้นเดือดสุด ทุกครั้งที่มีปัญหาไม่ย้อนดูตัวเอง หาคนผิด และวีนเสมอ การวีนนอกจากไม่แก้ปัญหาแล้ว ยังทำลายกำลังใจคนด้วยนะคะ..ต่อให้จ้างป๊อกด้วยตัวเลขเยอะเท่าไหร่ ถ้าอยู่ด้วยแล้วคับแค้นใจ อึดอัดใจป๊อกไม่ทนจริงๆ

Digital Agency ที่ที่สาม คือ บริษัท Foryou (นามสมมุติ) อยู่ที่นี่ 3 ปี ตำแหน่ง Project Manager อย่างเต็มตัว ตอนนั้นการสัมภาษณ์งานของป๊อก Hot มากมีหลายที่รับ แต่ป๊อกเลือกที่นี่ อย่างเดียวเลยคือ ถูกชะตากับบอส คะแนนอื่นๆตอนนั้นคิดในใจว่า ยังไงก็ไม่มา เช่น สถานที่ การเดินทาง ความสวยของออฟฟิศ ป๊อกอยู่ที่นี่ฟินมากกก ฟินในเชิงได้เจอบอสในฝัน บริหารแบบกันเอง เหมือนพี่ชาย ไม่ถือตัว เราเลยรู้สึกอยากปรึกษา มีปัญหาเราจะบอกทันที มีเรื่องงานที่ Success ก็อยากเล่าให้เขาฟัง คุยกันได้ทุกเรื่อง และเวลามีปัญหาไม่เคยเหวี่ยงวีน มีแต่ช่วยคิดแก้ปัญหา จากเรื่องใหญ่มักเป็นเรื่องเล็กเสมอ แต่ปัญหาเรื่องงาน เรื่องลูกค้า เรื่องทีม เป็นสิ่งที่เราเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว สิ่งนั้นเป็นด่านเข้ามาทดสอบ และทำให้เราฝึกวรยุทธ์ไปในตัว แต่สิ่งที่ทำให้เราผ่านมาได้คือ บอส ที่เคียงข้าง ลุยไปโดนด่าด้วย ออกหน้าเสมอ แบบนี้ค่ะ ต้นแบบของบอสที่ป๊อกอยากเป็น (ถ้ามีโอกาสได้เป็นนะคะ 555) สาเหตุที่ออก (ป๊อกสิ้นสุดการเป็นพนักงาน Forgot วันที่ 28 กันยายน 2561 ) มีปัญหา 1 อย่างที่ป๊อกเอาชนะไม่ไหวจริงๆ บอสก็ช่วยป๊อกไม่ได้ สิ่งเดียวที่ป๊อกจะช่วยตัวเองได้คือ เอาตัวเองออกมา ถ้าผู้อ่านอยากรู้ ไว้เจอกันป๊อกจะเล่าให้เป็นวิทยาทาน สิ่งดีๆที่ได้จากที่นี่คือ ทำให้รู้ว่าบอสดีๆในโลกนี้ยังมี และได้เห็นเป็นต้นแบบ กับได้ทำหน้าที่ Project Manager เต็มตัว ได้รู้จักคนหลายๆประเภท อันนี้ก็น่าสนใจ ไว้ป๊อกเขียนบทความไว้ที่ Blog ให้อ่านกันนะคะ

ต่อจากนี้จะทำอะไรต่อ ไว้อีกสัก 6 เดือนมาอับเดตอีกทีน๊าาา...

สิ่งที่ป๊อกได้จากการทำงานมา 6 ปี คือ

1. เหนื่อยงาน เราสู้ตาย แต่ถ้าเหนื่อยใจ ท้อใจ ถูกทำร้ายจิตใจ ไม่เข้าใจหัวอกคนทำงาน ป๊อกเป็นคนเด็ดขาดที่จะเดินออกมามาก 1. คับที่อยู่สบาย คับใจ (ถึงขีดสุด ) ยังไงก็ไม่อยู่ 2. อยากให้อยู่นานๆต้องจ้างด้วยใจ ( คำว่าใจ ตีโจทย์อีกเยอะเลยค่ะ เล่าตอนนี้เดี่ยวยาวววว …. ) มันคือหัวใจของการบริหารคน การบริหารไม่มีสูตรตายตัว เพราะเราทำงานกับคน ไม่ใช่เครื่องจักร 10 คนก็ 10 แบบ ..

2. ปัญหาของงาน เป็นสิ่งที่คนทำงานหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำได้คือรอบคอบและระมัดระวัง แต่ถ้ามันเกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่ต้องทำคือ มีสติ ไม่แก้ปัญหาด้วยอารมณ์ ไม่วีนใคร ไม่โทษใคร คนทำผิดเขาช้ำพอแล้ว ไม่ควรซ้ำเติม สำรวจตัวเองก่อนทุกครั้งว่าเหตุการณ์นี้เราควรต้องเพิ่มความรอบคอบอะไร แล้วมองหาสาเหตุแล้วแก้ให้ถูกจุด แก้ปัญหาที่ไม่ทำให้บัวช้ำ น้ำขุ่น ไม่กระทบจิตใจใครสักฝ่ายเดียว... ปัญหาใหญ่ควรกลายเป็นเล็ก ถ้าปัญหาเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ พิจารณาตัวเองด่วน...

3. ทำงานสายบริหาร จัดการคน จัดการงาน สิ่งที่ควรใส่ใจ และเรียนรู้ไม่จบคือ Soft Skill (Hard Skill รองลงมานิด ควบคู่กัน) การเข้าหาคน ศิลปการพูด การเข้าอกเข้าใจคนอื่น การรู้จักสังเกตว่าคนที่เราพูดด้วยอยู่ในอารมณ์ไหน จังหวะควรเข้าหาหรือไม่ควร และที่สำคัญคือการจัดการอารมณ์ตัวเอง และรับมือกับอารมณ์ของผู้อื่น การพิสูจน์ให้คนยอมรับเรา ไม่ใช่เพราะคำพูด แต่สร้างการยอมรับจากการกระทำมันจะมั่นคง และทรงพลังมากค่ะ...

4. พัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ทั้ง Soft Skill และ Hard Skill ลองใช้วิธีป๊อกดูนะคะ ให้เพื่อนร่วมงานพิมพ์ข้อที่เราต้องปรับปรุง กับ ข้อดีของเรา ข้อที่เราต้องปรับปรุงจะทำให้เรารู้ Pain ของเราชัดขึ้น เพื่อพัฒนาให้ดีขึ้น เราจะได้ในมุมมองคนอื่นที่เราอาจคิดไม่ถึงเลย ส่วนข้อดีจะเป็นเหมือนน้ำมันกำลังใจ ที่จะทำให้เรามีแรงทำดี และเดินหน้าต่อ..

สุดท้ายที่อยากฝากคือ ไม่ว่าเราจะลาออกด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม สิ่งเดียวที่ป๊อกจะไม่ทำคือ ดึงคนอื่นให้ลบไปกับเรา ให้ออกไปกับเรา ไม่ทำร้ายบริษัทที่เคยอยู่ ไม่ทำลายไฟล์งาน ยินดีสอนคนใหม่ที่จะเข้ามาแทนเพราะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เราจะตอบแทนบริษัทที่ให้หม้อข้าว หม้อแกงเลี้ยงชีพเราที่ผ่านมา ใครไม่ดีกับเรา เราจะดีกลับให้ที่สุด จนกว่าจะชนะ และโลกก็เหวี่ยงบอสดีๆมาให้ป๊อก..เห็นไหมคะ เราอยากอยู่สังคมไหน อยากเจอคนประเภทไหน ทำตัวเราให้เป็นแบบนั้นก่อน เราจะได้ในสิ่งนั้นค่ะ เพียงแต่ต้องใจเย็นๆ และทำให้สม่ำเสมอ ป๊อกมั่นใจว่า โลกจะเหวี่ยงเราไปในจุดที่ดีแน่นอน....นี่ไม่ใช่เรื่องมโน !

ป๊อกกี้
Date : 3 ตุลาคม 2561
ประสบการณ์ ความรัก
ต่อเนื่องจากที่ป๊อกสรุปไว้ตอนท้ายใน Part ของประสบการณ์การทำงาน ที่ว่าถ้าเราอยากเจอคนแบบไหน ให้ทำตัวแบบนั้น เราไม่ชอบคนแบบไหน เราจะไม่ทำแบบนั้น เราไม่ชอบให้ใครทำกับเราแบบไหน เราก็ไม่ควรทำแบบนั้นกับใคร ป๊อกเชื่อกฏของผลย้อนกลับ และ กฏแรงดึงดูดมากๆค่ะ ผลย้อนกลับคือ เราทำแบบไหน เราจะได้แบบนั้น ทั้งการพูด คิด และทำ และแรงดึงดูด คือ โลกจะเหวี่ยงเราไปอยู่ พบ เจอ กับคนที่ทัศนคติ และศีล เสมอกับเรา ทั้งเรื่องงาน หรือแม้กระทั่งความรัก...

ย้อนมองอดีต ป๊อกชอบประสบการณ์ความรักของตัวเองนะ สอนให้ป๊อกโตเป็นผู้ใหญ่ที่มองโลกกว้างขึ้น มองออกว่าคนไหนจริงใจ คนไหนไม่จริงใจ คนไหนเข้ามาด้วยแรงบุญ คนไหนเข้ามาด้วยแรงกรรม เพราะที่ผ่านมาเรามีโอกาสเจอคนทั้งสองแบบ เลยทำให้เรารู้แล้วว่า สิ่งที่ถูกต้อง คืออะไร สิ่งที่เราผิดพลาดไป คืออะไร และต่อจากนี้ไป เราต้องแก้ไขและปรับปรุงตัวเองยังไง...

แรงบุญครั้งที่ 1 : บอกเลยว่าคนนี้เข้ามาเพราะแต้มบุญที่สั่งสมมาดี คนนี้เป็นผู้ใหญ่กว่าป๊อก 4 ปี มีความเป็นผู้ใหญ่ สุภาพ บุคคลิกดี และขี้เล่น จริงๆก็ Perfect เลย เข้ามาหนุนเราทุกอย่าง ด้านการเรียน ด้านการเป็นอยู่ คือสายเปย์ดีๆนี่แหละ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเราเหมือนพี่กับน้องที่สนิทกันมากๆ ซะมากกว่า เกื้อหนุนกัน ช่วยเหลือแบบพิเศษๆ ซึ่งมันคือความรู้สึกดีแบบบริสุทธิ์ ไม่เทา ไม่ดำ แบบขาวๆ ไม่คาดหวังผลตอบแทน อยากเห็นเรามีความสุข นั่นคือสิ่งที่รู้สึกได้นะคะ แต่สิ่งที่แย่กับคนแรกคือ ป๊อกทำร้ายจิตใจพี่เขาเอง ตีตัวออก สบั้นแหลก พี่เขาถามหาเหตุผล ไม่มีเหตุผลให้เขา แต่คือไม่อยากเจอ ไม่อยากอยู่ใกล้ จบแบบไม่สวยค่ะ เพราะความเห้ของป๊อกล้วนๆ ในวัยตอนนั้น... ถึงตอนนี้คิดย้อนไป เสียดายเขามาก หาคนแบบนั้นในยุคนี้ยากมาก ตอนนั้นเราคิดด้วยแหละว่า เรายังเด็ก มีโอกาสเจอคนอีกตั้งเยอะ ไม่อยากตีกรอบตัวเอง อยากมีอิสระ สภาพเลยเป็นอย่างที่เล่า... > < (รอชมนะคะ ความเห้ที่เราทำกับคนดีๆ เราจะได้ผลยังไง 555)

คนแรกสอนให้รู้ว่า อย่าพึ่งน้ำบ่อหน้า ถ้าเห็นบ่อนี้แล้ว กรอกน้ำตุนไว้กินเลย และรักษาไว้ดีๆ เมื่อพลาดแล้ว เราจะไม่สามารถเอากลับมาได้อีก...

แรงบุญครั้ง ที่ 2 : คนที่สองป๊อกก็ยังคงแต้มบุญเยอะ คนนี้ระยะเวลาสั้นๆค่ะ หน้าตาของผู้..จะไม่ลงดีเทลเยอะนะ ให้รู้ว่า มาตรฐานสูงมาก ถ้าไม่ตรงสเปคจะไม่คุยเลย สเปคคือ หุ่นดี ไม่เตี้ย ไม่สูงเกินไป ไม่อ้วน ไม่ผอมเกินไป และที่สำคัญต้องดูฉลาด นิสัยค่อยศึกษาอีกที จริงๆคนนี้มีความเก๊ก และวางตัวดีมาก ไม่มีประวัติยุ่งกับสาวประเภทสองคนไหนๆ มีเพื่อนสนิทป๊อกจีบถึงขั้นส่งดอกกุหลาบ (เพื่อนเป็นสาวสอง) เขียนจดหมายถึง แต่โดนปฏิเสธหน้าหงายเลย นั่นคือจุดที่ป๊อกอยากเอาชนะเขา เพื่อนให้อ่านจดหมายที่เขาตอบปฏิเสธมาด้วย มันเลยยิ่งทำให้เราบอกเพื่อนว่า เดี่ยวเขาเจอดีบ้าง (ที่อารมณ์ขึ้นเพราะ จะไม่ชอบเลยคนที่ดูถูกเพศของคนอื่น วัดกันที่ทัศนคติ ความดี ความชั่วเถอะนะคะ อย่าวัดที่เพศ ที่หน้าตา หรือที่สีผิว ชอบไม่ชอบ รักไม่รัก นั่นอีกเรื่อง แต่อย่าเหยียด.. ) ปฏิบัติการณ์หว่านเสน่ห์จึงเริ่มขึ้น แต่จริงๆก็เล็งมาตลอดแหละคนนี้ เพราะนางตัวทอปอยู่.. ตอนที่เริ่มสปาคและเริ่มคุยคือ ตอนไป ทัศนศึกษา สุ่มจับฉลากที่นั่งกันยังไงไม่รู้ ได้นั่งด้วยกัน ทุกอย่างเริ่มก่อตัวแบบเร็วมาก และจบแบบเร็วมากเหมือนกัน เช่นเคยค่ะ สันดานเดิมป๊อกคือ เทแบบไม่ทันตั้งตัว พอรู้ว่าเกมส์นี้เราชนะ เราก็จะตีห่างแบบไร้เหตุผล งง ตัวเองมากค่ะ คือแค่อยากเอาชนะ ขนาดที่เขายอมเปิดตัว ยอมคบสาวประเภทสองแล้ว เขาเทหมดหน้าตักแล้ว อันนี้ก็สะสมกรรมของป๊อกแบบหนักๆเลยล่ะ รอหัวเราะสมน้ำหน้าป๊อก ได้เลย T T

คนนี้สอนให้รู้ว่า ความรัก ไม่ใช่การแข่งขัน การเอาชนะไม่ใช่กติกาที่ถูกต้องสำหรับความรัก และไม่ควรเล่นกับความรู้สึกของใคร ความรู้สึกคนไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ! อีกทั้งสอนให้รู้ว่า การทำร้ายจิตใจคนที่เขารู้สึกดีกับเรามากๆ ด้วยคำพูด และการกระทำที่แย่ๆ วันหนึ่งเราจะได้สิ่งนั้นย้อนกลับมาหาเราแน่นอน....

แรงบุญครั้งที่ 3 : ช่วงวัยนั้น แต้มบุญหนัก ศักดิ์ใหญ่จริงๆ มันเลยทำให้ป๊อกเหลิงว่า ทำไม่ดีกะใครก็ได้ เราก็ยังได้เจอคนดีๆเสมอๆ คือความชะล่าใจค่ะ เป็นความคิดที่ผิดมาก ถ้าสามารถย้อนอดีตได้ อยากรักษา และกลับไปแก้ไข กับคนนี้มากที่สุด เขาคือผู้ชายที่ควรค่าสำหรับการรักษา แต่เช่นเคยค่ะ ป๊อกใช้คำว่า เ_ว กับตัวเองได้เลย สำหรับครั้งนี้

เขาอายุห่างป๊อกปีเดียว เป็นผู้ชายที่ดูเหมือนจะโกรธใครไม่เป็น รูปลักษณ์ นิสัย คำพูด พ่อของลูกมากจริงๆ ชอบฟังเพลงวงแคลช ชอบทาแป้งตรางูก่อนนอน (ช่วงแรกยี้มาก บอกดูแก่จัง นางเคยให้ลองทา อุ๊ ติดใจเลยค่ะ เย็นไม่ต้องเปิดแอร์ 555) ชอบดื่มแป๊ปซี่มาก เพลงรอสายที่ยังจำได้ ที่เราใช้กันสองคนคือ Miss call ของ Senorita ตอนนั้นนางส่งข้อความหยอดทุกวันๆ มีแลกโทรศัพย์กันใช้ด้วย เอื้อเฟื้อป๊อกทุกอย่าง ยอมเลิกบุหรี่ให้ตามที่ป๊อกขอ คนนี้คบนานที่สุด และดีที่สุดในชีวิตแล้ว ดีขนาดนี้ ป๊อกยังทำกับเขาลง ฮื้อออออ Y Y

เหตุการณ์เห้ๆนั้นคือ ป๊อกไปเข้าค่ายในชั้นเรียน เลยทำให้เราได้เจอใครอีกคนที่ถูกตา ถูกใจ ช่วงสามวันนั้นเราคุยกับคนนี้เยอะมาก สนิทกันไวมาก ความที่แย่กว่านั้นคือ มีเพื่อนของคนที่ป๊อกคบอยู่ ไปในครั้งนี้ด้วย เขาก็เล่าเรื่องนี้ให้แฟนป๊อกฟัง แต่ตอนนั้นคิดว่าถึงรู้ก็ช่าง ไม่สนใจอะไร ก็ยังจะทำ ประชดเพื่อนพี่เขา เล่นหนักไปอีก พี่เขาโทรมาถามป๊อกก็พูดไม่ดีกลับ บอกเลิกเขาไปด้วยซ้ำ พี่เขาเสียงสั่นเครือเลยค่ะ เห้อออออ ความผิดบาปยังติดอยู่ถึงทุกวันนี้ แต่ตั้งแต่บรรทัดนี้ไป ป๊อกจะได้รับสิ่งที่ป๊อกทำไว้แล้วค่ะ

ความรักครั้งนี้สอนให้รู้ว่า ทำร้ายจิตใจคนที่ยื่นรักแท้ให้เรา ความผิดบาปมันจะตราตรึงไม่มีวันลืม เราอาจจะสุข หลง ระเริงตอนเรานอกใจ แต่ไม่นาน เราจะทุกข์ใจและเจ็บกว่าเขาอีกหลายเท่าตัว (มีรักแท้อยู่ดูแลไม่ได้) และโลกจะเหวี่ยงเราไปเจอ คนประเภทเดียวกับเรา เพื่อจะสอนให้เรารู้ว่า การโดนทำร้ายจิตใจบ้าง มันเป็นยังไง...

แรงกรรมครั้งที่ 1 : คนนี้อายุน้อยกว่าป๊อก 1 ปีค่ะ เจอกันตอนรับน้องเข้ามหาลัย ภาพรวมบุคคลิกดี เป็นที่จับจ้องของเก้งกวาง บ่างชะนีมากโขอยู่ เพราะพอทุกคนรู้ว่าคบป๊อก มีพี่เก้งรุ่นใหญ่เขม่นขั้นไม่คุยกับเราเลย แกน่าจะเปย์ไว้เยอะ มั่งนะ... แรกๆทุกอย่างดีเลยค่ะ ด้วยความเรียนสาขาเดียวกัน เวลาจะสอบเขาก็จะมาให้ป๊อกติวให้ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ และเลข ทุกอย่างดีมาสัก 4 เดือนแรก หลังจากนั้นเขาเริ่มกลายร่างเป็นคนขี้เมา กินเบียร์เก่งมากก เมาบ่อยมากก พอเมาก็เริ่มมีปากเสียง คุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง หลังๆทะเลาะกันบ่อยๆ แล้วก็เจ็บกับเหตุการณ์ที่บังเอิญเห็นเขาขับรถไปกับผู้หญิงคนอื่น ใช่ค่ะ เจ็บแหละ แต่เริ่มตัดใจ ณ วินาทีนั้น คนนี้คบสั้นๆ แต่เจ็บจริงนะคะ แต่หลังๆ ทราบข่าวว่าเขาโดนไล่ออกจากมหาลัย เกรดไม่ถึงเกณฑ์ และขาดเรียนบ่อย...

คนนี้สอนให้ป๊อกรู้ว่า กรรมที่เคยก่อไว้ เริ่มคืบคลานมาหาเธอเรื่อยๆแล้วนะ เตรียมตัว เตรียมใจไว้ดีๆ เหอๆๆ (สแยะยิ้มแบบแนนโนะ)

แรงกรรมครั้งที่ 2 : คนนี้ยังเป็นรุ่นน้องค่ะ อายุน้อยกว่า 2 ปี พอเราเริ่มรู้สึกว่า เราต้องระมัดระวังตัวกับความเจ็บนะ เพราะรู้สึกว่าทุกอย่างเริ่มคืบคลานมาเอาคืน เลยลองมองหาคนที่สเปค ล่างๆลงมา เผื่อเขาจะเป็นคนดี เจอค่ะ คนสเปคกลางๆ และก็ Happy ดี เขาชอบเรียกป๊อกว่า "แอ๊บนี” เป็นชื่อ Hi5 ช่วงนั้น และชอบพูดดังๆ ให้เพื่อนนางได้ยิน "รักตุ๊ด” > < บางทีขนาดมีข้อความแปะไว้หน้าห้อง จีบกันผ่าน MSN ยังจำชื่อ MSN เขาอยู่เลย แรกๆดี ตีเนียน ผ่านไปสักพักลายเริ่มออก คนนี้ไม่เมานะคะ แต่เป็นคนติดการพนัน ติดพนันบอล ก็จะเริ่มมียืมเงิน แล้วก็ไปทำเสีย แต่สิ่งที่ต้องตัดใจแล้วจริงๆคือ เขาแอบคบกับผู้หญิงอีกคนด้วย จับได้ตอนนั่งกินข้าวกับเพื่อน แล้วเพื่อนเห็นเขากับผู้หญิงอีกคน เจ็บจี๊ดดด เลยค่ะ เลยตัดใจจากเขา (ป๊อกเป็นคนที่ถ้ารู้ว่าเขาไม่รัก และไม่ซื่อสัตย์แล้ว เจ็บนะคะ แต่ตัดใจเด็ดขาดทันที ไม่ซ้ำแซะ ไม่ยืดเยื้อ จบก็คือจบ )

คนนี้สอนให้ป๊อกรู้และมั่นใจแล้วว่า กรรมใดที่เราเคยทำไว้ สิ่งนั้นจะย้อนมาสอนเราคืนแน่นอน... โลกนี้ยุติธรรมดีนะคะ ในเชิงกฏของการกระทำ... กฏหมายเอาคืนได้ไม่เจ็บเท่ากฏของการกระทำที่จะย้อนกลับมาหาเรา..

แรงกรรมครั้งที่ 3 : หลังจากคนล่าสุด ป๊อกทิ้งตัวเองโสดนานมากพอสมควร เพราะคิดว่า ถ้ายังไม่เจอคนที่ดีกับเราจริงๆ ขอพักก่อน ถ้าเจอก็จะเรียนรู้นานๆ ถ้ายังไม่เจอก็ไม่เป็นไร อยู่กับเพื่อน อยู่กับตัวเอง แล้วก็อยู่กับการเรียน พอเรียนจบ ก็หางานทำเลย เพลินกับงานไป ระหว่างนั้นก็ไม่เจอคนถูกใจเลย แต่ป๊อกเป็นคนรักงานมากนะคะ ทำงานแบบเต็มที่ ทุกอย่างที่ทำต้องออกมาดี ทำให้ป๊อกได้รู้จักคนๆหนึ่ง ที่เนียนเข้ามาในหัวใจเพราะเรื่องงาน

ป๊อกได้สร้างความสัมพันธ์ครั้งนี้ที่บริษัท Digital ที่ที่สอง ที่ชอบคนนี้มากเพราะเขาเก่งในสายงานที่เราทำอยู่ หาตัวเทียบยาก และช่วงที่เรา Down มากกับคุณภาพงานที่ส่งลูกค้าทุกครั้ง ต้องโดนลูกค้าด่ากลับในเชิงทำงานออกมาไม่ตรงดีไซน์ที่วางไว้ เขามาเติมเต็มตรงนี้แบบดีโครต ทำให้ป๊อกรักในอาชีพนี้มากขึ้น เราไม่ได้อยู่บริษัทเดียวกันนะคะ แต่บอสให้เขาทำงานเป็น Outsource และให้ป๊อกประสานดิวงาน ส่งงาน และบรีฟงานกับเขา เราเลยได้คุยไลน์ ประสานงาน ทั้งกลางคืน และเสาร์ อาทิตย์ และเมื่องานเสร็จเราก็จะคุยถึงเรื่องกิจวัตรของกันและกันบ้าง มันค่อยๆก่อตัว แบบเนียนๆ และดูเหมือนจะก่อตัวทีละเล็ก ทีละน้อย จนค่อยๆทรงพลัง (ป๊อกจะเล่าลัดๆนะคะ เดี่ยวจะยาว) ตอนนั้นเอาจริงๆคือโลกในมโนของป๊อกสีชมพูมาก มีส่งเพลง ส่งภาพ และ Goodnight กันเรื่อยๆ กับคนนี้มีหลายเรื่องราวที่ประทับใจป๊อก แต่อันนี้อาจเป็นความรู้สึกป๊อกเล่าฝ่ายเดียวนะ แต่กับเขาเองป๊อกไม่รู้ เขาอาจจะไม่คิดอะไรกับป๊อกเลยก็ได้ แต่ทุกอย่างก่อตัวมาเรื่อยๆ ราว 3 ปีได้

มีดูหนังฉลองหลังงานเสร็จบ้าง ไปนั่งกินข้าวชมวิวร้านดีๆบ้าง และที่ชอบมากๆคือเขาจะหาความรู้ด้าน Hard Skill ในสาย Digital เสริมเราตลอด ในระหว่างคุย มันเไม่เหมือนคุยกับแฟนคนอื่นๆก่อนนี้ ที่จะเน้น คิดถึงนะ กินข้าวยัง เป็นห่วงนะ จุกจิก เดิมๆ แต่คราวนี้ เขามาในเชิงเสริมงาน เสริมความรู้สึก มันเลย Happy ไปทั้งสองทาง หลังๆเราเริ่มคิดที่จะหางานนอกทำด้วยกัน เราได้งานแรก งานบริษัทยักใหญ่พอควร เราทำจบไปด้วยดีในเชิงความสัมพันธ์ ป๊อกดูสนิทกับเขามากในทางไลน์นะคะ แต่การพบเจอกัน นานๆครั้ง ซึ่งรู้สึกแหละว่า เขาให้เรารู้จักแค่อีกด้าน มีอีกด้านที่ป๊อกยังไม่รู้จัก ...

ทุกๆอย่างค่อยๆเปลี่ยนไป ถึงแม้การกระทำหลายๆอย่างดูเหมือนคงเดิม แต่เซ้นบางอย่างบอกไม่ใช่ เราพยายามถามย้ำหลายรอบนะคะ ว่ามีอะไรไหม บอกตรงๆได้เลย เขาปากแข็งมาก จนวันไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วยกัน เราบังเอิญได้เล่นโทรศัพย์เขา เปิดเพลงฟัง ใจมันอยากรู้ และอยากจบความรู้สึกหนักอกแบบนี้สักที เลยระลาบระล้วงพื้นที่ส่วนตัวของเขา จนเจอสิ่งที่ทำให้ป๊อกตัดใจจากความรู้สึกนี้ได้สักที จากที่หนักอกมาเกือบปี เหมือนยกภูเขาออกจากอก ยังไงอย่างงั้นค่ะ แต่ทุกอย่างจบด้วยดี ทุกอย่าจบแล้วจริงๆ ป๊อกโตขึ้นมากในด้านความคิด ทั้งความรัก และสายงาน แต่การเรียนรู้ของเราไม่มีที่สิ้นสุด มีอะไรให้เราทำความรู้จักอีกเยอะ ขอแค่เรามีภูมิคุ้มกันที่ดี ทุกอย่างจะดี …

เดี่ยวเล่ายาวจะรำคาญเอา ถ้ามีโอกาส อยากให้เล่าตอนเจอกันได้นะคะ สิ่งที่ป๊อกตัดสินใจแชร์ เพราะ อยากเอาเรื่องตัวเองเป็น Case Study กับทุกคนว่า ถ้าเราอยากเจอคนแบบไหน เราทำตัวแบบนั้น เราอยากเจอคนรักจริง เราต้องรักจริงก่อน ทำให้เป็นสันดานของตัวเองไปเลยนะคะ ให้โลกเชื่อคุณอย่างสนิทใจ แล้วโลกจะเหวี่ยงเราไปเจอคนที่สมควรจะได้เจอ....

ป๊อกกี้
Date : 4 ตุลาคม 2561